วันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

บันทึกอนุทินครั้งที่6 (สรุปบทความ 5 บทความ)




บันทึกอนุทินครั้งที่
วันที่ 14 ก.พ. 2563
เวลาเรียน08:30-11:30น.
EAED2301การศึกษาพฤติกรรมเด็กปฐมวัย
ว่าที่ ร.ต.กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด (อ.บาส)
https://scontent.fbkk8-2.fna.fbcdn.net/v/t1.15752-9/ 
          วันนี้เริ่มต้นการเรียนการสอนด้วยการพรีเซนต์งาน บทความเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กปฐมวัย ซึ่งจะพรีเซนต์ตามลำดับของแต่ละคนจากการส่งงานไล่มาจากลำดับท้ายสุดไปลำดับแรกสุดซึ่งการพรีเซนต์ของแต่ละคนนั้นจะสื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมมต่างๆของเด็กปฐมวัยที่มีความแตกต่างกันไปตามสาเหตุ ซึ่งดิฉันได้เลือกเอาบทความที่น่าสนใจของเพื่อนๆมาสรุปไว้ 5 บทความดังนี้

สรุปบทความ 5 บทความ

1.นางสาวชนิภรณ์ เผ่าเพ็ง เลขที่ 19
บทความเรื่อง "พฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กปฐมวัย"

           พฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กปฐมวัยนั้นเกิดขึ้นในเด็กวัย 2-5 ปีเพราะเด็กในวัยนี้นั้นขาดการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง หรือพื้นเพของเด็กนั้นเป็นคนเลี้ยงยาก ปรับตัวยาก ปรับตัวยาก จึงทำให้เด็กนั้นมีความคับข้องใจและแสดงออกโดยการอาละวาดและอาจแสดงวาจากิริยาก้าวร้าวได้ ซึ่งสาเหตุของการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวอาจมาจาก

          1.สาเหตุทางชีวภาพ อาจเกิดจากการภ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่นการที่พ่อแม่มีอารมณ์ร้าย ดุ ฉุนเฉียวง่าย จึงอาจจะส่งผลถึงลูกได้

          2. สภาพจิตใจของเด็ก เด็กไม่มีความสุข เศร้า กังวล ขี้ตื่นเต้น ตกใจง่าย เด็กที่คับข้องใจบ่อย ๆ และถูกกดดันเสมอ ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กหงุดหงิดและอาจแสดงวาจากิริยาก้าวร้าวได้

          3. การเลี้ยงดูภายในครอบครัว
             - การทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ดูแลเด็ก
             - การลงโทษรุนแรง
             - การตามใจและยอมตามเด็กเสมอ
             - การทะเลาะกันภายในครอบครัว
             - การยั่วยุอารมณ์ให้เด็กโกรธ
             - การขาดระเบียบวินัยในชีวิต
             - การที่เด็กทำผิดแล้วผู้ใหญ่ให้ท้าย
             - การสื่อความหมายไม่ชัดเจน ทำให้เด็กสับสน กังวล ไม่รู้จักความผิดที่แน่นอน


           4. จากสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม เด็กได้ดูสื่อต่างๆที่มีความรุนแรงทางสังคม การรับรู้ถึงท่าที ทัศนคติที่ไม่ดีของคนรอบข้างสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นและเร้าให้เด็กนั้นเลียนแบบพฤติกรรมที่ได้เห็นมา

  วิธีป้องกันและแก้ไข
          1. ผู้ใหญ่ต้องหยุดการกระทำอันก้าวร้าวของเด็กโดยทันที และต้องไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง อาจจะควบคุมพฤติกรรมของเด็กด้วยการรวบมือและรวบตัวของเขา และบอกว่าทำสิ่งนั้นไม่ได้

          2. แนะนำทางออกอื่นให้เด็ก เช่น เมื่อเด็กโกรธกันขึ้นมา ก็สามารถเดินมาบอกผู้ใหญ่ให้ว่ากล่าวคู่กรณีได้ แต่ตีกันไม่ได้

          3. ไม่ควรตอบตกลง หรือต่อรองกันในขณะที่เด็กมีอารมณ์หรือพฤติกรรมก้าวร้าว เพื่อให้เด็กเรียนรู้ว่า ผู้ใหญ่จะตอบสนองความต้องการของเขา เฉพาะในช่วงที่อารมณ์สงบ และมีพฤติกรรมที่เหมาะสมเท่านั้น

          5. การลงโทษเด็กไม่ควรใช้ความรุนแรง อาจใช้วิธีแยกเด็กอยู่ตามลำพังระยะหนึ่ง โดยมีการสื่อให้เด็กเข้าใจว่า การรบกวนผู้อื่นเป็นสิ่งไม่สมควร เมื่อสงบแล้วค่อยมาพูดจากันใหม่

          6. ฝึกให้เด็กรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสมของตนเอง เช่น ซ่อมแซมของที่ชำรุดเสียหาย โดยพิจารณาตามความเหมาะสม

          7. หลีกเลี่ยงการตำหนิ ต่อว่า เปรียบเทียบ ให้เด็กรู้สึกเป็นปมด้อย


2.นางสาวดวงกมล บุญศรี เลขที่ 20
บทความเรื่อง " 3 เรื่องเล่น การเล่น ของเล่นที่ดีต่อพัฒนาการลูกวัย 4-5 ปี "
         1. เล่นกีฬา สร้างกล้ามเนื้อแข็งแรง การเล่นที่ใช้กำลังขา กำลังแขน เช่น เตะฟุตบอล บาสเก็ตบอล วิ่งเล่นกลางแจ้ง ขี่จักรยาน  เมื่อลูกได้ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อใหญ่แล้วสิ่งที่ควรทำควบคู่ไปด้วยคือการพัฒนากล้ามเนื้อมือและนิ้วมือของลูกให้แข็งแรง หรือจัดกิจกรรมให้ลูกได้วาดภาพ

         แนะนำของเล่นฝึกกล้ามเนื้อ : เล่นของเล่นที่ได้โยนหรือส่งต่อเบาๆ เพื่อการเคลื่อนไหวร่างกายทั้งแขนและขา เช่น ลูกบอลยาง ห่วงยาง

         2. เล่นดนตรี สร้างสมาธิ  กิจกรรมที่ช่วยเรื่องสมาธิ ได้แก่ กิจกรรมทางด้านดนตรี เช่น ฟังดนตรี เล่นเครื่องดนตรี รวมถึงการอ่าน ซึ่งถือเป็นการเล่นที่ได้ทักษะหลายด้าน ทั้งได้พัฒนาทักษะการฟัง การอ่าน การเชื่อมโยงของเรื่องราว โดยเฉพาะการฟังหรือการเล่นดนตรี นอกจากได้พัฒนากล้ามเนื้อแล้ว ยังมีผลต่อการพัฒนาทักษะสมองอีกด้วย

        แนะนำของเล่นฝึกสมาธิ : หนังสือนิทานที่มีเรื่องราวเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน   ส่วนการเล่นดนตรี หากไม่มีเครื่องดนตรีคุณแม่สามารถชวนลูกฟังเพลง ร้องเต้นไปด้วยกันได้ค่ะ ชวนเขาคุยถึงเนื้อเพลง ทำบ่อยๆ จะช่วยให้เขาจดจ่อกับเพลงที่ฟังมากขึ้น เป็นการฝึกสมาธิไปในตัว

       3. เล่นบทบาทสมมติ ริเริ่มสร้างสรรค์ วัยนี้ชอบเล่นอิสระและการเล่นที่ได้ใช้จินตนาการ สนุกกับการเล่นที่ท้าทาย และสามารถทำกิจกรรมกรรมที่ซับซ้อนได้มากขึ้น ลูกวัยนี้จึงชอบเล่นบทบาทสมมติ เช่น เล่นเกี่ยวกับคนในครอบครัว จำลองสถานการณ์บางอย่างที่คุ้นเคย หรือเล่นเลียนแบบอาชีพ เพราะได้ใช้จินตนาการ ได้คิดริเริ่มสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาทักษะอื่นๆ ในอนาคต

       แนะนำของเล่นฝึกความคิดสร้างสรรค์ : ของเล่นสำหรับการเล่นบทบาทสมมติ เช่น ชุดเครื่องครัวจำลอง อุปกรณ์ทำงานบ้านสำหรับเด็ก หรือชวนลูกเข้าครัวเรียนจากอุปกรณ์จริง  เขาจะรู้สึกสนุกและท้าทาย มากขึ้น แต่จะต้องไม่ลืมดูแลเรื่องความปลอดภัยด้วย



 3.นางสาวบรรพตี ทรงประดิษฐ์ เลขที่ 6
บทความเรื่อง " 6 สาเหตุ ลูกไม่ยอมพูด หรือพูดช้า "
 
       1. หูตึงหรือหูหนวก
 

อาจเป็นแต่กำเนิดหรือเกิดจากการติดเชื้อที่หูชั้นกลางบ่อยๆ หากสงสัยว่าลูกไม่ได้ยินให้พาไปตรวจที่แผนกหู เพื่อการวินิจฉัยและใส่เครื่องช่วยฟัง

       2. สมองพิการ

เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โครโมโซมผิดปกติแต่กำเนิด ภาวะขาดออกซิเจน ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะตัวเหลืองมากผิดปกติ การติดเชื้อหรือการได้รับอุบัติเหตุที่สมอง การได้รับสารพิษ เช่น สารปรอท สารตะกั่ว ทำให้เด็กมีพัฒนาการช้าทุกๆ ด้าน ส่วนใหญ่แก้ไขให้กลับมาเป็นปกติไม่ได้ แต่ช่วยเหลือให้ดีขึ้นได้ด้วยนักกายภาพบำบัด นักฝึกพูด และนักกระตุ้นพัฒนาการ

       3. ขาดการกระตุ้นพัฒนาการที่ถูกต้องตามวัย

เช่น รู้ใจเด็กมากเกินไป ไม่มีคนคอยพูดคุยด้วย อยู่กับพี่เลี้ยงต่างด้าว ดูทีวีหรือติดมือถือ-แท็บเล็ต วิธีแก้ไข คือ งดดูทีวี-มือถือ-แท็บเล็ต ให้พูดคุยและทำกิจกรรมร่วมกับเด็กให้มากขึ้น ฝึกอ่านหนังสือนิทานด้วยกันทุกวัน

       4. เป็นบ้านที่มีการพูดหลายภาษา

อาจทำให้เด็กบางคนไม่แน่ใจ เกิดความลังเลในช่วงแรกๆ แต่ภายหลังก็สามารถพูดได้ทั้งหมดทุกภาษา

       5. เป็นพันธุกรรม

อาจมีพ่อหรือแม่มีประวัติพูดช้าเช่นเดียวกัน เป็นประเภทม้าตีนปลาย เดี๋ยวพูดได้จะพูดไม่หยุด

       6. ภาวะออทิสติก

นอกจากลูกไม่ยอมพูด ก็มักมีความผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ขาดการสบตา ไม่ชอบเล่นกับคนชอบอยู่ในโลกส่วนตัว ชอบทำอะไรซ้ำซากและเป็นการเล่นที่ขาดจินตนาการ แก้ไขโดยการฝึกพูดและฝึกพัฒนาการด้านการสื่อสารกับผู้อื่น



4.นางสาวสุพิชญา ถุงวิชา เลขที่
บทความเรื่อง " ลูกชอบเล่นคนเดียว ไม่ชอบเข้าสังคม ... ทำอย่างไรดี "

        มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ช่างพูดช่างคุยเวลาอยู่บ้าน แต่กลับกลายเป็นเด็กเก็บตัว ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาเมื่อเวลาอยู่กับเพื่อน ๆ แตกต่างกับเวลาอยู่ที่บ้านราวกับคนละคนในความเป็นจริงแล้วการที่เด็กบางคนไม่อยากเข้าสังคม หรือไม่อยากเล่นกับเพื่อน ๆ ไม่ได้เกิดจากความขี้อายหรือความไม่กล้าแสดงออกเท่านั้น บางครั้งอาจเกิดจากเหตุผลอื่น ๆถ้าคุณพ่อคุณแม่หรือคุณครูอยากให้เด็กรู้จักเล่นกับเพื่อน ๆ ร่วมทำกิจกรรมกับคนอื่น ๆ และปรับตัวได้เร็วก็ต้องช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยวิธีดังต่อไปนี้

        1. หาสาเหตุแล้วแก้ให้ถูกจุด
การที่เด็กไม่ยอมเล่นกับเพื่อน ๆ อาจจะมีปัญหากับบางสถานการณ์ เช่น เคยถูกเพื่อนล้อเลียนหรือรังแก หรือขาดความมั่นใจในการทำกิจกรรมซึ่งเมื่อทราบสาเหตุคุณพ่อคุณแม่และคุณครู ต้องให้คำแนะนำกับเด็กเพื่อปรับความเข้าใจ และแก้ไขเหตุการณ์ที่ทำให้เด็กเกิดความคับข้องใจ คอยดูแลเอาใจใส่เวลาเด็กทำกิจกรรม เพื่อให้เด็กเกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง


        2. เด็กชินกับการเล่นคนเดียว
อาจเป็นความเคยชินจากการที่ผู้เลี้ยงดูปล่อยให้เล่นคนเดียวเสมอ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ควรปล่อยให้เล่นไปก่อนสักระยะหนึ่ง แล้วจึงค่อยชวนให้เด็กลองเล่นกับเพื่อน ๆ ดู อาจใช้คำพูดโน้มน้าวใจให้เกิดความสนใจที่จะเล่นกับเพื่อน ๆ


        3. พาลูกไปร่วมกิจกรรมกับเด็กคนอื่นบ่อย ๆ
เด็กบางคนถูกเลี้ยงมาท่ามกลางพี่ ๆ หรือเป็นเด็กคนเดียวในบ้าน เมื่อต้องมาอยู่กับเพื่อนวัยเดียวกันก็รู้สึกไม่คุ้นเคย ทำให้ปรับตัวไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้พบปะกับคนทุกเพศทุกวัยเพื่อให้ลูกรู้จักปรับตัวให้ได้ทั้งกับคนที่อายุมากกว่าและน้อยกว่า

        4. คุณพ่อคุณแม่ต้องหาเวลาทำกิจกรรมร่วมกับลูกบ้าง
ผู้ใหญ่ควรให้ความใส่ใจในการร่วมกิจกรรมกับเด็ก เช่น เล่านิทานให้ฟัง หาเกมมาเล่นด้วย ชวนลูกดูสารคดี หรือนั่งดูการ์ตูนที่ลูกชอบด้วยกัน และถือโอกาสสอดแทรกคำสอนผ่านกิจกรรมต่าง ๆ การที่ลูกได้ทำกิจกรรมร่วมกับสมาชิกในบ้าน เป็นการสนับสนุนให้เด็กกล้าแสดงออก กล้าแสดงความคิดเห็น ซึ่งจะช่วยให้เขากล้าเข้าสังคมมากขึ้น

         5. ปรึกษาแพทย์และนักจิตวิทยาเด็ก
หากคุณพ่อคุณแม่และคุณครูลองทุกวิธีแล้ว จนเด็กอายุประมาณ 3 ขวบครึ่งแล้ว เด็กยังคงขี้อายมาก ๆ และไม่ยอมเล่นกับเพื่อน ๆ ไม่เข้าร่วมกิจกรรมใด ๆ ควรพาเด็กไปพบจิตแพทย์หรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก เพราะเด็กอาจมีปัญหาอื่น ๆ ด้านพัฒนาการ ซึ่งควรได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี

         การส่งเสริมให้เด็กได้รู้การปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน ๆ คุณพ่อคุณแม่และคุณครูไม่ควรรีบเร่งมากจนเกินไป ควรให้โอกาสเด็กสักระยะ และให้เวลาเขาทำความคุ้นเคยกับสถานการณ์ใหม่ ๆ การให้กำลังใจด้วยความเข้าใจในสิ่งที่เด็กเป็น จะทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจและพร้อมที่จะเรียนรู้สู่การเข้าสังคมอย่างมั่นใจ


  
5.นางสาววรินทร ต้นโศก เลขที่
บทความเรื่อง " 5 พฤติกรรมของลูกที่พ่อแม่ควรช่วยปรับ เพื่อให้ลูกโตไปอยู่รอดและเป็นคนดี "

         พฤติกรรมลูก เกิดจากการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ ที่ต้องการให้เขาเป็นคนแบบไหนในสังคม  ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่ครอบครัว เพราะสถาบันครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญกับเขาตั้งแต่ลืมตา และการเริ่มต้นเร็วตั้งแต่ในวัยเด็ก จะช่วยสร้างพฤติกรรมให้กับเขาได้ดี และสามารถปรับใช้ตามสถาการณ์ในอนาคตได้

         1.ถ้าลูกอดทนรอคอยไม่เป็น ลูกก้าวร้าว ลูกอาละวาด
อาจเกิดผลเสียทำให้ลูกมีพฤติกรรมไม่น่ารัก กลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ ขี้หงุดหงิด อาละวาด ก้าวร้าว พ่อแม่ควรจะตอบสนองลูกให้ช้าลง เพื่อฝึกการรอคอย เพื่อลูกจะเรียนรู้ว่าเขาไม่ได้อะไรดังใจทุกอย่าง


         2.ถ้าลูกสมาธิไม่ดี ลูกสมาธิสั้น
คุณแม่ควรฝึกลูกตั้งแต่เด็กทารกเลย เช่น ระหว่างการให้นมลูก แม่ควรสบสายตากับเขาเพื่อเป็นการสร้างสมาธิ ฝึกโฟกัสสายตา หรือการพูดคุยกับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดก็ช่วยฝึกสมาธิลูกน้อยได้ดี


         3.ถ้าลูกเป็นเด็กไม่เคารพกฎ กติกา
จะทำให้เด็กมีพฤติกรรม กลายเป็นเด็กขี้ โกหก  เห็นแก่ตัว  มักง่าย  ซึ่งพ่อแม่ต้องฝึกเปลี่ยนพฤติกรรมเขาใหม่ เช่น  สร้างกฏกติกาภายในบ้าน มีเวลาตื่นและเข้านอน ควรเป็นเวลาที่ทำสม่ำเสมอ หัดให้เขารู้จักพูด “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ”


         4.ถ้าลูกขาดความรับผิดชอบ             
พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองทำอะไรใหม่ๆฝึกระเบียบวินัยผ่านการช่วยเหลือตัวเอง  เช่น แปรงฟัน อาบน้ำ  อย่าคาดหวังลูกมากเกินไป เวลาที่ลูกเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ให้เวลากับเขาเปิดโอกาสให้เขา  คิดได้ด้วยตัวเองหรือลองผิดลองถูก


         5.ถ้าลูกขาดความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ลูกไม่มีน้ำใจ
จะทำให้เขามีพฤติกรรมต่อต้านสังคม  กลายเป็นเด็กที่ไม่มีน้ำใจ  อันดับแรกพ่อแม่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนลูกให้เห็นอกเห็นใจคนอื่น  สอนให้เขารู้จักความพอดีในการช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่ทำให้ตัวเองลำบากหรือเดือดร้อน  เช่น ชวนลูกบริจาคของเล่นที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อที่จะสอนเขาว่าของเล่นที่เขาไม่เอาแล้ว นั้นมีประโยชน์ต่อคนอื่นได้เช่นกัน






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บันทึกอนุทินครั้งที่15

บันทึกอนุทินครั้งที่15 วันที่ 24 เม.ย. 2563 เวลาเรียน 08:30-11:30 น. ว่าที่ ร.ต. กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด (อ.บาส)         วันนี้เป็...